หลายคนที่จะลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ในการลงทุน วันนี้ทาง FazWaz มีวิธีในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ สำหรับบุคคลที่ไม่มีทุนเป็นจำนวนมาก ประสบการณ์ ไม่มีเวลามานั่งติดตาม และสำหรับคนที่อยากมีเงินเก็บ นั่นคือ การซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้นเอง  ดังนั้น วันนี้ทางเว็บไซต์จะอธิบายเกี่ยวกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คืออะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท ดังต่อไปนี้

  • ผลตอบแทนกองทุนรวมมีอยู่ 2 ประเภท ซึ่งจะจ่ายผลตอบแทนที่ต่างกัน
  • กองทุนรวมจะมีความเสี่ยงสูง แต่ไม่ผันผวนไปตามตลาดหุ้น
  • ตัวอย่างรายชื่อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ที่สนใจ

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คืออะไร?

กองทุนรวม คือ การที่เราและคนอื่นๆ นำเงินไปซื้อลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรวมเงินเป็นก้อนใหญ่ แล้วให้บริษัทการจัดการลงทุน เป็นบริษัทที่บริหารจัดการ โดยตัวเราและคนอื่นๆที่ลงทุนนั้น รอรับผลตอบแทนอย่างเดียว

ผลตอบแทนจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

ผลตอบแทนกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “เงินปันผล” และ “ผลต่างราคา” ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ จะจ่ายผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป

  • เงินปันผล จะได้รับผลตอบแทนหลังจากค่าใช้จ่าย แล้วนำเงินมาหารกันตามจำนวนที่ซื้อ โดยแบ่งออกเป็นงวดๆ ทุก 3 เดือน, 6 เดือน และจะไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี
  • ผลต่างราคา ขึ้นอยู่กับมูลค่ากองทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น หากซื้อกองทุนมาในราคา 100 บาท เวลาผ่านไปสักระยะนึง มูลค่ากองทุนได้เพิ่มขึ้นเป็น 150 บาท ซึ่ง 50 บาทนั้น นับว่าเป็นกำไรจากผลราคาต่างนั่นเอง แถมยังไม่ต้องเสียภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ เหมือนกับเงินปันผลอีกด้วย

 ประเภทของกองทุนรวม

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ถือว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงในหลายระดับ ตั้งแต่ความเสี่ยงน้อย ความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงกลาง จนถึงระดับความเสี่ยงสูงมาก ถึงว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะมีความเสี่ยงในการลงทุนก็ตามแต่ อย่าไรก็ตาม กองทุนรวมสามารถทำกำไรให้เราได้อย่างเต็มเม็ดเลยทีเดียว

การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สามารถซื้อได้ 2 แบบ คือ การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง และ กองทุนที่ลงทุนในการเช่าของอสังหาริมทรัพย์

  • กองทุนที่ซื้อเพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง คือ รายได้จากกองทุนนั้นจะได้รับจากการเช่า หรือขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเลิกกองทุนนั้น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากการปล่อยเช่า และค่าส่วนต่างของราคาขายอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ
  • กองทุนที่ลงทุนในสิทธิการเช่า หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Leasehold คือ เราไม่สามารถเป็นเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ โดยรายได้กองทุนจะได้จากการเช่าระหว่างการทำสัญญาเช่า พอครบสัญญาต้องคืนอสังหาริมทรัพย์นั้นให้เจ้าของ โดยที่ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากการปล่อยเช่าเป็นการตอบแทน

ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ขาดแคลนในเรื่องของทุนทรัพย์ หรือ ประสบการณ์ต่างๆแล้ว การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จัดว่าป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับผู้ที่สนใจ เนื่องจากใช้งบประมาณในการลงทุนน้อยกว่า แต่สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้หลากหลาย อีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยง แถมยังมีสภาพคล่องมากกว่า เพราะกองทุนรวมได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง

ความเสี่ยงของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

การลงทุนธุรกิจย่อมมีความเสี่ยงเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับอสังหาริมทรัพย์แล้ว เราจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่ และมีความซับซ้อน ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เช่น การแข่งขันในทำเลเดียวกันที่สูงขึ้น ผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนไม่ยอมจ่ายค่าเช่า เป็นต้น

Estate agent shaking hands with customer after contract signature

ตัวอย่างรายชื่อกองทุนรวอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ พร้อมบริษัทลงทุนที่บริหารจัดการ

  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ควอลิตี้ เฮ้าส์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ (QHHR) : บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ศาลาแอทสาทร (SSPF) : บลจ. กรุงศรี จำกัด
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แสนสิริ ไพร์มออฟฟิศ (SIRIP) : บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ยูโอบี ฟรีโฮสต์ เอท ทองหล่อ (UOB8TF) : บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) : บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SPWPF) : บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) : บลจ. บัวหลวง จำกัด

การเลือกลงทุนกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควรเลือกให้เหมาะสมกับไลฟฟ์สไตล์ของตนเอง ศึกษาระยะเวลาที่มีผลต่อการลงทุน ความเสี่ยงของแต่ละกองทุน เป็นต้น ว่าเราสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน โดยมีธนาคาร หรือบริษัทลงทุน จะให้เราทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อนการซื้อกองทุน สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นหลัก คือ พิจารณาจากอายุของผู้ลงทุน จำนวเงินทุน ความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน เป็นต้น หากศึกษา พิจารณาอย่างดีแล้ว ก็สามารถลงทุนเชิงรุกได้เลย เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน