เว็บไซต์ซื้อ ขาย อสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Juwai.com ซึ่งจัดว่าเป็นเว็บไซต์ยอดนิยม ของชาวจีน ได้เผยว่า ประเทศไทย ได้ขึ้นแท่นอันดับที่ 1 ที่ได้รับความนิยมจากชาวจีน และเป็นอันดับที่ 4 ที่ชาวจีนหันมาลงทุนในประเทศไทย คิดเป็นเงินมูลค่า 2.3 พันล้าน ดอลลาสหรัฐ เลยทีเดียว โดยที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร จัดว่าเป็นสถานที่ ที่น่าลงทุน เป็นอันดับแรก และอันดับต้นๆเลยทีเดียว เนื่องจากว่า เมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่อง สามารถสร้างความเชื่อมั่น ในด้านศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ ทางด้านผู้บริหาร TeC ชี้เหตุผลที่ดึงชาวจีนมาลงทุนในประเทศไทย เพื่อช่วยดัน GDP โต และศึกษาโนว์ฮาวพัฒนาประเทศ ขณะที่นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ เผยพฤติกรรมชาวจีน เปลี่ยนจากการทำตลาดหลายอย่างหลายช่องทาง ส่งผลกระจายซื้อได้หลายทำเล

ทางด้านแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท Juwai.com เผยว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์นี้ เป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งที่ชาวจีน ใช้ในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน และมีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศเลยทีเดียว นอกจากนี้ เว็บไซต์ดังกล่าว สามารถรองรับการใช้งานมากกว่า 90 ประเทศเช่นกัน จากข้อมูลในปี 2559- 2560 ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับความนิยมในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน ในปี 2559 จัดเป็นลำดับที่ 6 ปี 2560 จัดเป็นลำดับที่ 3 และในปี 2561 ที่ผ่านมา พบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวจีนเพิ่มขึ้น เป็นอันดับที่ 1 รองลงมาเป็นชาว ออสเตรเลีย  สหรัฐอเมริกา  แคนาดา  อังกฤษ  มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ

จากข้อมูลล่าสุดของปี 2561 พบว่าประเทศหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ชาวจีนลงทุนมากที่สุด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30.4 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาอันดับที่ 2 คือ ฮ่องกง คิดเป็นมูลค่า 16.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และสุดท้าย คือ ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นมูลค่า 2.0 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

“ไทยเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นลำดับที่ 4 จากมูลค่าของการลงทุน โดยที่กรุงเทพมหานคร จัดว่าเป็นเมืองแนวหน้าของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ในปัจจุบันกรุเทพมหานคร ได้ประสบปัญหาเรื่อง ควัน หรือ มลภาวะทางอากาศเป็นพิษ ส่งผลให้ชาวจีนไม่ค่อยอยากเผชิญกับปัญหาดังกล่าว แต่ปัจจัยที่ทำให้คนจีนหันมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย คือ การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศไทย ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาวจีนเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว”

ในช่วงที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ Juwai.com พบว่านักลงทุนชาวจีน และชาวฮ่องกง ได้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย จำนวน 15,000 ยูนิต ถือว่าสามารถครองตัวเลขกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมด ที่ลงทุนในประเทศไทย หากประเมินจากตัวเลขารซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวจีนและฮ่องกงแล้ว เฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต ดังนั้น มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยรวมในปี 2561 เป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่นักลงทุนชาวจีนและชาวฮ่องกงให้ความสนใจนั้น คือ พื้นที่กรุงเทพมหานคร รองลงมา คือ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ นั่นเอง

คุณ สุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นักลงทุน และผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยตามทำเล ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก เช่น รัชดาภิเษก เพราะอยู่ไม่ไกลจากสถานฑูตจีน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้า เอ็มอาร์ที ทำให้การสัญจรไปมาสะดวก แต่ในปัจจุบัน การเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของชาวจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ได้แก่

  1. เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์จากผู้ประกอบการเข้าถึงนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น ทำให้โครงการที่อยู่นอกพื้นที่ได้รับการตอบรับจากชาวจีนมากขึ้น
  2. ปัจจุบัน มีนายหน้า ทั้งชาวไทย และต่างชาติ จำนวนมาก ได้นำโครงการต่างๆเสนอขายทั้งในประเทศไทย และในประเทศจีนโดยตรง ทำให้สร้างความรู้จัก และคุ้นเคยจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
  3. ผู้ประกอบการชาวจีน มีส่วนร่วมในการผลักดัน หลายๆพื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของคนจีนด้วยเช่นกัน
  4. สืบเนื่องด้วยระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่ง ของประเทศจีน จึงเป็นปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถใช้ระบบออนไลน์ ในการค้นหา หรือทำความรู้จักที่ทำเลในกรุงเทพมหานครได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีเว็บไซต์มากมายของนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทั้งชาวไทย และจีนที่มีความรู้เรื่องตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันเป็นอย่างดี

ดังนั้น ในอนาคต เชื่อได้เลยว่า มีผู้ซื้อและนักลงทุนชาวจีนจำนวนมากหันมาลงทุนตามพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร และในพื้นที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ไม่ใช่ เมืองพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย หัวหิน กระบี่ เท่านั้น แต่ยังคาดการณ์ทำเลใหม่ในอนาคต ที่อาจจะไปถึงหัวเมืองรองของแต่ละภูมิภาคก็เป็นได้